เหตุผลที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี ปฏิเสธโอกาสเซ็นสัญญากับ เวอร์จิล ฟาน ไดค์
แพท เนวิน อดีตนักเตะทีมชาติสกอตแลนด์ ได้เปิดเผยถึงสาเหตุที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี ตัดสินใจไม่เซ็นสัญญากับ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ กัปตันทีม ลิเวอร์พูล ก่อนที่เขาจะย้ายมาร่วมทีมในถิ่นแอนฟิลด์ โดย ฟาน ไดจ์ค ได้กลายเป็นนักเตะที่สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ตั้งแต่ย้ายมาสู่ทีมในปี 2018 และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกองหลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก
แม้เขาจะช่วยพา ลิเวอร์พูล กลับมายิ่งใหญ่ทั้งในเวทียุโรปและในประเทศ แต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี กลับยังคงต่อสู้เพื่อกลับคืนสู่สถานะของทีมระดับหัวแถว ซึ่งหากพวกเขาตัดสินใจคว้าตัว ฟาน ไดจ์ค ในตอนนั้น เรื่องราวอาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เนวินเผย: ยูไนเต็ดและเชลซีไม่ต้องการนักเตะจากเซลติก
เนวินยังระบุว่า ทั้งสองสโมสรเห็นว่าฟาน ไดจ์คมีข้อผิดพลาดในเกมมากเกินไป
เนวิน ซึ่งเคยเล่นให้กับ เชลซี ได้อธิบายผ่าน Grosvenor Sports ว่า สโมสรระดับยักษ์ใหญ่ในอังกฤษทั้งสองไม่มั่นใจในตัวกองหลังรายนี้ เนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการเสี่ยงเซ็นสัญญานักเตะจากลีกสก็อตแลนด์ นอกจากนี้ยังมีความเห็นว่าฟาน ไดจ์คมักเล่นผิดพลาดในเกม ซึ่งเนวินมองว่านั่นเป็นเพราะเขารู้สึกเบื่อระหว่างการแข่งขัน
“เมื่อพูดถึงการที่สโมสรในพรีเมียร์ลีกไม่มั่นใจในการเซ็นสัญญานักเตะจากลีกสก็อตแลนด์ ผมจำได้ว่าเคยได้ยินมาว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี มองว่า เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค มีข้อผิดพลาดในเกมมากเกินไป แต่เหตุผลที่เขาพลาดบ่อย ๆ ก็เพราะเขารู้สึกเบื่อในเกมเหล่านั้น”
“ลองจินตนาการดูสิว่ามันจะเปลี่ยนแปลงขนาดไหนหาก เดวิด มอยส์ เซ็นสัญญากับ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ในตอนนั้น เขาย้ายไป เซาแธมป์ตัน ก่อนที่จะมาที่ ลิเวอร์พูล แต่ทีมต่างๆ ในอังกฤษไม่ต้องการจ่ายเงิน 10 ล้านปอนด์ในตอนที่เขาอยู่กับ เซลติก เพราะพวกเขามักไม่เชื่อมั่นในนักเตะจากลีกสก็อตแลนด์”
จุดเริ่มต้นที่เซาแธมป์ตันและก้าวสู่ลิเวอร์พูล
สุดท้ายแล้ว เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ย้ายไปเล่นให้กับ เซาแธมป์ตัน ซึ่งเป็นจุดที่เขาแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถเล่นในพรีเมียร์ลีกได้อย่างยอดเยี่ยม ฟอร์มที่โดดเด่นในถิ่นเซนต์ แมรีส์ ทำให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจทุ่มเงิน 75 ล้านปอนด์เพื่อดึงตัวเขามาสู่ ลิเวอร์พูล และส่วนที่เหลือก็เป็นประวัติศาสตร์ที่ทุกคนรู้ดี
ฟาน ไดจ์ค ไม่เพียงแค่สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในฐานะกองหลังชั้นยอด แต่ยังช่วยสร้างยุคทองให้กับ ลิเวอร์พูล ทั้งการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกและยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ของสโมสร