เจค็อบ เมอร์ฟี เป็นนักเตะที่สร้างความเห็นแตกต่างให้กับแฟนบอลมาตลอดเส้นทางอาชีพ หลายคนยังไม่มั่นใจว่าเขาเก่งจริงตามที่ผลงานบางช่วงแสดงออกมาหรือไม่
แต่ในฤดูกาล 2024–25 เขาได้พิสูจน์ตัวเองอย่างเต็มที่กับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด และกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจที่สุดภายใต้การคุมทีมของ เอ็ดดี ฮาว ที่เข้ามารับงานที่ เซนต์เจมส์ พาร์ก ตั้งแต่ปี 2021 และช่วยจุดไฟในตัว เมอร์ฟี ให้ลุกโชนอีกครั้ง
ก่อนหน้านั้น เขาคือหนึ่งในดาวรุ่งพุ่งแรงของ นอริช ซิตี้ โดยแจ้งเกิดที่สนาม แคร์โรว์ โร้ด พร้อมกับน้องชายฝาแฝดอย่าง จอช เมอร์ฟี ทั้งคู่มีช่วงเวลาที่ดีในชุดเยาวชนของ “นกขมิ้นเหลืองอ่อน” แต่เป็น เจค็อบ ที่สามารถก้าวไปไกลกว่า ขณะที่น้องชายกลับไม่สามารถแบกรับความคาดหวังหลังย้ายไป คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์ในปี 2018
แม้ เจค็อบ เมอร์ฟี จะได้ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ นอริช แบบเต็มฤดูกาลเพียงปีเดียว แต่ก็เป็นปีที่น่าจดจำ และเมื่อสโมสรได้รับค่าตัวถึง 12 ล้านปอนด์จากการขายเขา ก็ไม่น่าแปลกใจที่แฟนๆ จะนึกถึงช่วงเวลานั้นด้วยความภาคภูมิใจ
จุดเริ่มต้นของ เมอร์ฟี กับ นอริช ซิตี้
เขาเปิดตัวกับทีมชุดใหญ่ในปี 2014 และในช่วงแรกก็ถูกปล่อยยืมไปเก็บประสบการณ์กับทีมอย่าง สวินดอน ทาวน์, เซาธ์เอนด์ ยูไนเต็ด และ สคันธอร์ป ยูไนเต็ด ซึ่งยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เปล่งประกายเท่าไหร่นัก
กระทั่งช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล 2014–15 ต่อเนื่องถึง 2015–16 เขาได้โอกาสเล่นกับ โคลเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ โคเวนทรี ซิตี้ ที่สนาม ซีบีเอส อารีนา และนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญ เขายิงและจ่ายรวมกันถึง 20 ประตูจากการลงสนาม 42 นัดในทุกรายการ
ฟอร์มอันโดดเด่นนี้ทำให้ อเล็กซ์ นีล กุนซือของ นอริช ในเวลานั้น ตัดสินใจให้โอกาสเขาในทีมชุดใหญ่ในฤดูกาล 2016–17 ซึ่ง เมอร์ฟี ไม่ทำให้ผิดหวัง เขามอบความเร็ว ความกล้าเล่น และการเข้าทำที่ตรงประเด็น ทำไป 9 ประตูกับอีก 8 แอสซิสต์ในทุกรายการ ถือว่ายอดเยี่ยมสำหรับปีกหนุ่มที่เพิ่งแจ้งเกิด
ย้ายสู่ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
เมื่อโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นในฤดูกาลนั้น หลายสโมสรในพรีเมียร์ลีกต่างจับตามอง เจค็อบ เมอร์ฟี ไม่ว่าจะเป็น คริสตัล พาเลซ, เซาแธมป์ตัน, สวอนซี ซิตี้, เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน รวมถึง นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
ท้ายที่สุดเป็น “สาลิกาดง” ที่ยื่นข้อเสนอ 12 ล้านปอนด์ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมปี 2017 เพื่อคว้าตัวดาวรุ่งวัย 22 ปีรายนี้ไปครอง ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินก้อนใหญ่ที่ นอริช ได้รับจากการขายนักเตะ และยังเป็นหนึ่งในดีลที่มีมูลค่าสูงสุดของสโมสรจนถึงปัจจุบัน
ในช่วงแรกของการย้ายมา เมอร์ฟี ยังไม่สามารถแจ้งเกิดได้ทันที ต้องถูกปล่อยยืม และผลงานยังไม่สม่ำเสมอ แต่เมื่อ เอ็ดดี ฮาว เข้ามารับตำแหน่งในปี 2021 ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เขากลายเป็นหนึ่งในตัวริมเส้นที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีก
ฤดูกาลที่ผ่านมา เขามีส่วนร่วมกับประตูมากกว่า 10 ครั้ง แต่ในปีนี้เขายกระดับตัวเองขึ้นไปอีกขั้นด้วยการทำผลงานร่วมกับเพื่อนร่วมทีมได้อย่างไหลลื่น จนมีส่วนสำคัญพา นิวคาสเซิล คว้าแชมป์ ลีกคัพ ที่สนาม เวมบลีย์ และยุติความแห้งเหี่ยวในถ้วยรางวัลของสโมสร
ทั้งหมดนี้อาจไม่เกิดขึ้นเลย หากเขาไม่ได้ฉายแววกับ นอริช ซิตี้ ในฤดูกาล 2016–17 ช่วงเวลานั้นคือจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตนักเตะที่กลายมาเป็นทรัพย์สินล้ำค่าทั้งของ นิวคาสเซิล และ นอริช เอง